เป็นการเดินทางที่คุ้มมากๆค่ะกับทริปนี้ กับการขึ้นเขา Pilatus เพราะเราใช้พาสที่ขึ้นได้ฟรีหมดทั้ง รถไฟ รถบัส กระเช้า และเรือด้วยค่ะ เป็นอีกหนึ่งวันที่คุ้มค่ามากๆ
ทริปนี้เป็นการกางเต็นท์เที่ยวครั้งแรกของพวกเรา ที่กางเต๊นท์คือที่เมือง Sarnen ค่ะ บอกเลยว่าตื่นเต้นอีกทริปหนึ่งเลย ซึ่งสามารถอ่านรีวิวเกี่ยวกับสถานที่กางเต๊นท์ได้ในลิงค์นี้เลยค่ะ
พาสและตั๋วที่เราจะใช้เดินทางในทริปนี้คือ Tell Pass 2 for 1 นะคะ ซึ่งอยากจะบอกว่ามีประโยชน์และคุ้มมากๆในการเที่ยวสวิต เราจะใช้ในการเดินทางทั้งหมด ไม่ว่าจะขึ้นรถไฟ รถบัส เรือ และกระเช้าขึ้นเขาต่างๆเช่น Pilatus Kulm, Rigi, Fronalpstock, Stanserhorn, Brienzer, Rothorn, Engelberg, Titlis, Stoos และอื่นๆอีกหลายที่เลยค่ะ แถมราคาไม่แพงด้วย เพราะเป็นแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่งนั่นเอง สามารถอ่านรายละเอียดได้ในลิงค์นี้เลยค่ะ
วิธีการเดินทาง
วันนี้จะเป็นอีกวันที่เราออกไปเที่ยวกันอีกค่ะ จุดมุ่งหมายวันนี้คือ ภูเขา Pilatus นั่นเองค่ะ ซึ่งเป็นภูเขาที่ดังอีกที่หนึ่งที่สวิตเซอร์แลนด์ การเดินทางไปก็ง่าย และก็อยู่ไม่ไกลจากเมือง Luzern เท่าไหร่ด้วยค่ะ วิธีการเดินทางไปที่เขา Pilatus เราสามารถไปได้ 2 วิธี คือ
- วิธีแรก คือนั่งรถบัสจาก Luzern แล้วนั่งกระเช้าขึ้นไป Pilatus จากสถานี Kriens
- วีธีที่สอง คือการนั่งรถไฟ (หรือเรือก็ได้นะ) จาก Luzern ไปลงที่สถานี Alpnachstad แล้วนั่งรถไฟขึ้นไป Pilatus
ซึ่งก็สะดวกทั้งสองทางนะคะ ส่วนเราสองคนเดินทางแบบที่หนึ่งค่ะ คือโดยการนั่งกระเช้าขึ้นไป แต่ตอนลงเราลงอีกด้านคือทางรถไฟ และนั่งเรือกลับ ต่อค่ะ เพราะต้องการเห็นบรรยากาศทุกด้านค่ะ เป็นการเดินทางแบบวงกลม ซึ่งเค้าจะเรียกการเดินทางแบบนี้ว่า Golden Round Trip หรือภาษาเยอรมันจะเรียกว่า Goldene Rundfarht ค่ะ

ราคาบัตรขึ้นเขา Pilatus
ปกติแล้วราคาตั๋วจาก Kriens – Piklatus Kulm – Kriens ราคาเต็มจะอยู่ที่ 59.20 ฟรังก์ต่อคน และเด็กอายุระหว่าง 6-15.99 ปี จะราคา 33.30 ฟรังก์ต่อคน
แต่ถ้าใครใช้พาสเหมือนเราคือ Tell Pass หรือ Tell Pass 2 for 1 จะขึ้นฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มค่ะ ส่วนถ้าใครใช้ Swiss Travel Pass จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 39 ฟรังก์ค่ะ (ราคาปี 2023) (อัปเดตราคาได้ที่ www.pilatus.ch/buchen/preise)

ออกเดินทาง
ที่จริงที่พักของเราจะอยู่ใกล้กับรถไฟขึ้นมากกว่านะคะ แต่เนื่องจากพวกเราสองคนอยากเริ่มต้นด้วยการขึ้นกระเช้ามากกว่า เราเลยเลือกเส้นทางนี้ ถ้าใครอยากขึ้นกระเช้าก่อนเหมือนเราสองคน และเดินทางจากเมือง Luzern นะคะ ก็ให้นั่งรถบัสสาย 1 ซึ่งสถานีรถบัสตั้งอยู่หน้าสถานีรถไฟเลยค่ะ นั่งไปลงที่สถานี Kriens นะคะ แต่จะยังไม่ถึงสถานีขึ้นกระเช้านะ แต่เรายังต้องเดินไปอีกประมาณ 10 นาที ก็จะถึงสถานีกระเช้าค่ะ
พอถึงสถานีกระเช้าแล้ว เราสองคนก็ต้องต่อแถว เพื่อเอาบัตรเพื่อขึ้นกระเช้ากันก่อนค่ะ เราก็แค่ยื่น Tell Pass 2 for 1 ให้เจ้าหน้าที่ออกตั๋วดู จากนั้นเค้าก็จะถามเราก่อนว่าเราจะลงด้านไหน เค้าจะได้ออกตั๋วที่มีบาร์โค๊ดให้เราได้ถูกพอได้ตั๋วแล้ว เราก็ไปขึ้นกระเช้าได้เลยค่ะ

การนั่งกระเช้าจาก Kriens ก่อนที่จะถึงยอด Pilatus Kulm นะคะ จะเป็นเล็กนะคะ และกระเช้าจะผ่าน 2 สถานีคือ Krienseregg และ Fräkmüntegg ค่ะ แต่เราจะต้องลงเปลี่ยนกระเช้าเป็นกระเช้าใหญ่ที่สถานี Fräkmüntegg ก่อนนะคะ เพราะฉะนั้นพอถึง แล้ว เราก็ออกจากกระเช้าเล็กเพื่อขึ้นกระเช้าใหญ่ต่อค่ะ ตรงสถานีนี้ถ้าใครไม่รีบขึ้นก็สามารถหากิจกรรมทำที่สถานีนี้ได้นะคะ เพราะสถานี Fräkmüntegg นี้จะมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่างเลย เช่น แต่เนื่องจากเราสองคนมีแพลนอยุ่แล้วในช่วงบ่าย เลยไม่แวะค่ะ เราเลือกขึ้นกระเช้าต่อขึ้นไปบนเขา Pilatus Kulm เลยค่ะ (แพลนของเวลาของกระเช้า www.pilatus.ch/informieren/fahrplan)
Pilatus Kulm

Pilatus Kulm ที่ความสูง 2132 เมตร พอพวกเราขึ้นถึงข้างบนแล้ว ต้องร้องโอ้โหดังๆเลยค่ะ สวยมากๆ เพราะบนเขา Pilatus Kulm จะเห็นวิวอลังการงานสร้างมากๆ และสวยมากๆค่ะ ข้างบนเขาจะมีร้านอาหาร มีโรงแรม มีจุดให้นั่งพักผ่อนเยอะเลย นอกนั้นยังมีทางเดินเพื่อชมวิวมุมต่างๆสั้นๆ ให้เดินด้วย เดินไม่ยากด้วยค่ะ

พวกเราสองคนเดินทั่วทุกจุด และนอกจากนั้นเรายังเดินกันจนถึงจุดที่เรียกว่า Tomlishorn ด้วยค่ะ ซึ่งเป็นยอดที่สูงที่สุดของ Pilatus ด้วย ปกติจะเรียกเส้นเดินเขาเส้นนี้ว่า Blumenpfad ซึ่งแปลว่าเส้นทางดอกไม้นั่นเอง เนื่องจากเส้นทางนี้เราจะสามารถพบเห็นดอกไม้บนเทือกเขามากมายตลอดทางค่ะ จะใช้เวลาเดินประมาณ 40-45 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ









อยากจะบอกว่าบน Tomlishorn วิวคือสวยมากๆ แนะนำเลย กรณีถ้าใครมีเวลาและชอบเดินนะคะ ก็ลองเดินดู แต่ทางเดินเค้าจะเป็นหินหน่อยนะคะ รองเท้าที่เดินแนะนำว่าควรเป็นรองเท้าสำหรับเดินเขานะ ถ้าไม่มีรองเท้าสำหรับเดินเขาโดยเฉพาะ ควรเลือกรองเท้าที่มีรองพื้นหนาๆหน่อยนะ



ขาลง
<< ขากลับ Pilatus Kulm (รถราง) – Alpnachstad (เรือ) – Luzern



พวกเราเลือกที่จะลงโดยรถไฟค่ะ เพราะอยากนั่งรถไฟที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรถไฟไต่เขาที่สูงชันที่สุดในโลก (The World’s Steepest Cogwheel Railway) ที่เปิดใช้มาตั้งแต่ปี 1889 แล้วค่ะ ซึ่งเรากับสามีก็อยากที่จะนั่งมากๆค่ะ แต่อยากจะบอกว่า ควรดูเวลาเดินทางดีๆนะคะ เพราะเราจะลงช่วงบ่าย 3 คนรอลงทางรถไฟเหมือนพวกเรานี้เยอะเลยค่ะ ต้องต่อแถวยาวเลย พอพวกเราลงมาถึง Alpnachstad ได้รอนั่งเรือไปลูเซิร์นรอบสุดท้ายพอดีเลยค่ะ โชคดีมากๆ ไม่งั้นคงพลาดที่จะได้นั่งเรือแน่ๆค่ะ
นั่งเรือจาก Alpnachstad ไป Luzern

พวกเราจะนั่งเรือกลับลูเซิร์นกันที่ท่าเรือ Alpnachstad กัน เป็นท่าเรืออยู่ติดกับสถานีรถไฟเลยนะ เป็นการเดินทางที่สะดวกมากๆ แถมเราใช้ Tell-Pass 2 für 1 ในการเดินทางครั้งนี้ การนั่งเรือก็ฟรีด้วยนะคะ (ดูตารางเรือได้ที่ www.pilatus.ch/informieren/fahrplan) แต่เราไม่ต้องแลกบัตรอะไรนะคะ เราสามารถใช้บัตร Tell-Pass 2 für 1 หรือใครมี Swiss Trave Pass ก็ขึ้นเรือได้เลยค่ะ

ทะเลสาบลูเซิร์น หรือคนเยอรมันจะเรียกว่า Vierwaldstättersee ค่ะ เป็นทะเลสาบในภาคกลางของสวิตเซอร์แลนด์ทะเลสาบนี้มีขนาด 114 กม.² และอยู่ที่ระดับความสูง 433 ม. จากระดับน้ำทะเล และล้อมรอบด้วยเทือกเขาพรีอัลป์ เป็นทะเลสาบที่ตั้งอยู่ระหว่าง 4 รัฐ ด้วยกันคือ Uri, Schwyz, Unterwalden และ Lucerne นั่นคือเหตุผลที่ชื่อว่า Vierwaldstättersee นั่นเองค่ะ ( Vier ในภาษาเยอรมันแปว่าสี่ )
การนั่งเรือจาก ท่าเรือ Alpnachstad ไป Luzern จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง ระหว่างทางก็ผ่านเมืองต่างๆ เรือก็จะจอดตามท่าที่มีโปรแกรมไว้แล้ว พอจอดส่งรับผู้โดยสารเสร็จก็จะเดินทางต่อค่ะ ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นาน การเดินทางของเรือจะตรงเวลามากๆค่ะ บนเรือก็จมีร้านอาหารด้วย กรณีที่เราหิว เราก็เข้าไปนั่งในร้านอาหารเพื่อสั่งอาหารทานก็ได้เช่นกันค่ะ
บนเรือจะมีสองชั้น ชั้นบนชั้นล่างนะคะ ถ้าเราใช้ตั๋วแบบชั้นสองคือต้องนั่งชั้นล่างนะ เพราะชั้นบนจะเป็นของชั้นหนึ่งค่ะ เรื่องความสวยของวิวทั้งสองชั้นก็ไม่ต่างกันมากค่ะ แค่แตกต่างตรงที่ชั้นหนึ่งคนจะไม่เยอะ และพลุกพล่านเหมือนชั้นสองแค่นั้นเองค่ะ ระหว่างทางจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจบัตรด้วยค่ะ ว่าเรามีบัตรขึ้นเรือไหม และเรานั่งถูกชั้นไหมค่ะ

เป็นทริปอีกหนึ่งวันที่ชอบมาก เพราะเราได้ทำอะไรหลายอย่างเลยค่ะ ใครอยากลองเที่ยวตามเส้นทางที่เราทำในวันนี้ก็ลองดูนะคะ เราว่าคุ้มมากๆค่ะ และพอเที่ยวบนเขาเสร็จแล้ว ถ้าใครยังมีเวลา และไม่เหนื่อยจนเกินไป ก็สามารถที่จะเดินเล่น หรือเที่ยวที่เมืองลูเซิร์นต่อก็ได้นะคะ