driverlicense

ใบขับขี่หมดอายุเกิน 1 ปี ต่ออายุแบบออนไลน์ได้แล้ว!!

ความรู้ทั่วไป

ทำอย่างไรเมื่อใบขับขี่หมดอายุเกิน 1 ปี ตอนนี้ทำออนไลน์ได้แล้วค่ะ ซึ่งบอกได้เลยว่าสะดวก ลดขั้นตอน และลดระยะเวลาได้เยอะมาก

โดยปกติแล้วก่อนที่จะกลับเมืองไทยเราได้จะเช็คเสมอว่า มีบัตรมีอะไรบ้างที่ใกล้จะหมดอายุ หรือต้องต่ออายุบ้าง เนื่องจากอยากจะทำทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยในระหว่างที่ไปเยี่ยมบ้านเกิด เพราะเราไม่มีเวลาที่จะได้กลับเมืองไทยบ่อยๆนั่นเองค่ะ และบัตรสำคัญๆ ที่เราควรจะเช็คบ่อยๆว่าจะหมดอายุเมื่อไหร่ และควรจะต่อเมื่อไหร่ ก็มี 3 อย่างนั้นก็คือ บัตรประชาชน, พาสปอร์ต แล้วก็ใบขับขี่ ค่ะ

 แต่เนื่องจากเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงที่มี covid ระบาดทำให้การกลับเมืองไทยเป็นสิ่งที่ยุ่งยากมาก เลยทำให้บัตรใบขับขี่ของเราต้องหมดอายุไปเกือบ 2 ปี!!! บอกเลยว่าตอนนั้นคือตกใจมากๆ เพราะอีก 1 อาทิตย์เราก็จะกลับไทยแล้วค่ะ และสำหรับเราใบขับขี่คือสำคัญมาก เพราะเวลาเรากลับเมืองไทยเราต้องขับรถตลอดเพื่อทำธุระต่างๆ เลยรีบศึกษาหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตเลยว่า ถ้าใบขับขี่หมดอายุมากกว่า 1 ปีงั้นต้องทำอย่างไร?

จากการศึกษาดูทำให้รู้ว่า ผู้ที่ต้องการต่ออายุใบขับขี่ส่วนบุคคลที่หมดอายุเกิน 1 ปีขึ้นไป สามารถอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning ได้แล้ว !!! โดยสามารถนำผลผ่านการอบรมใช้เป็นหลักฐานประกอบการดำเนินการ ที่สำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศเลยค่ะ ซึ่งถือว่าดีมากๆ แล้วก็สะดวก สำหรับคนที่อยู่ต่างแดนอย่างเรามากเลยค่ะ

ดำเนินการขอต่อใบขับขี่ใบใหม่ในกรณีใบขับขี่หมดอายุ มี 3 กรณี ดังต่อไปนี้ 

1. การต่อใบขับขี่ กรณีที่หมดอายุภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี

 คือเราสามารถทำเรื่องขอรับใบขับขี่ใบใหม่ได้ทันที มีค่าธรรมเนียมการต่ออายุตามปกติ

2. การต่อใบขับขี่ กรณีที่ที่หมดอายุเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี

หากใบขับขี่หมดอายุไปแล้วเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี สามารถขอรับใบขับขี่ใบใหม่ได้ แต่ต้องผ่านการสอบข้อเขียนอีกรอบ

3. การต่อใบขับขี่กรณีที่หมดอายุเกินกว่า 3 ปี

ใบขับขี่หมดอายุเกิน 3 ปีต้องสอบข้อเขียน และต้องสอบปฏิบัติใหม่อีกรอบด้วยค่ะ


ใบขับขี่หมดอายุไปแล้วเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปี

ส่วนกรณีของเรานะคะ ใบขับขี่ของเราหมดอายุ 2 ปีกว่าแล้ว ซึ่งหมายความว่าเราอยู่ในข่าย ใบขับขี่หมดอายุไปแล้วเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 3 ปีคือ  เราสามารถขอรับใบขับขี่ใบใหม่ได้ แต่ต้องสอบข้อเขียนใหม่ค่ะ

เมื่อเราได้อ่านได้ศึกษาดูมาแล้ว เราก็รีบดำเนินการทันทีตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 

 1. ทำการอบรมออนไลน์ผ่านระบบ e-Learning

ขอบคุณรูปจากกรมการขนส่งค่ะ

ก่อนที่เราจะบินกลับไปไปเมืองไทย เราสามารถอบรมผ่านระบบ e-Learning ได้ทาง https://www.dlt-elearning.com/ ได้เลยค่ะ

  1. ลงทะเบียนใหม่ ซึ่งเราต้องลงทะเบียนก่อนนะคะ
  2. ใส่ข้อมูลเลขบัตรประชาชน (2 รอบ)
  3. ใส่เบอร์โทรศัพท์
  4. ใส่วันเดือนปีเกิด จากนั้นก็คลิกดำเนินการต่อแล้วเราก็เริ่มกันอบรมออนไลน์การเลยค่ะ 
  5. เลือกการอบรม ตามใบอนุญาตขับรถที่ต้องการต่ออายุ
  6. เลือกหัวข้อ “แบบทดสอบก่อนอบรม”
  7. ดูวีดีโอการอบรมการขับรถจนจบ และทำการทดสอบหลังอบรม

การอบรมออนไลน์แต่ใช้ระยะเวลาประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง ในระหว่างอบรมอาจจะมีบททดสอบด้วย (ซึ่งก็ไม่ยากค่ะ) ในระหว่างที่อบรมเราสามารถที่จะหยุดพักหรือว่าถ้าติดธุระก็สามารถที่จะหยุดไว้ก่อน แล้วค่อยกลับมาอบรมต่อให้เสร็จอย่างนั้นก็ได้เหมือนกันค่ะ เมื่ออบรมเสร็จแล้วก็จะมีระบบคำถาม ประมาณ 7-8 ข้อเพื่อให้เราตอบ ซึ่งก็ไม่ยากเหมือนกันค่ะ 

หลังจากอบรมเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมที่จะบันทึกผลการอบรมไว้เป็นหลักฐานด้วยนะ ส่วนที่เราทำนะ เราแคปหน้าจอของคอมพิวเตอร์ไว้เลยค่ะ แล้วก็ปริ้นผลการอบรมออกมาไว้เลย 

***** เราสามารถที่จะอบรมได้ทุกที่ที่มีอินเตอร์เน็ตค่ะ ซึ่งสะดวกมากๆ ไม่ว่าจะเป็นมือถือหรือว่าคอมพิวเตอร์ก็ได้

2. จองคิวผ่าน DLT Smart Queue

หลังจากอบรมออนไลน์เสร็จเรียบร้อยแล้วขั้นตอนต่อไปคือ เราก็จองคิวออนไลน์ผ่าน DLT Smart Queue ได้เลยค่ะ หรือจองคิวล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue / iOS Link: https://apple.co/2GIHARd แอนดรอยด์ Link: http://bit.ly/2IkLpyO ในคอมพิวเตอร์ก็ได้ที่ https://gecc.dlt.go.th/

  1. เลือกฟังชั่น ดูคิว จองคิว รับคิว
  2. เลือกสำนักงานขนส่งเลือกประเภทบริการ (เราควรเลือกสำนักงานขนส่งที่ใกล้บ้าน และที่สะดวกเราที่สุดค่ะ)
  3. เลือกวันที่และรอบที่ต้องการ และยืนยันการจอง (เราเลือกวันที่สะดวกที่สุด และตรงกับวันที่เรากลับไทยพอดี)
  4. แคปหน้าจอไว้ เพื่อเอาไว้โชว์เจ้าหน้าที่ที่

หลังจากจองเสร็จแล้ว เราสามารถแคปหน้าจอเอาไว้ และนำข้อมูลการจองแสดงแก่เจ้าหน้าที่ในวันที่เราไปทำเรื่องต่อใบขับขี่ต่อไป กรณีที่ เมื่อจองแล้วหากมาตามคิวไม่ได้ หรือติดธุระ เราก็สามารถยกเลิกได้นะ แล้วค่อยจองใหม่ก็ได้เหมือนกันค่ะ

3. เดินทางไปต่อใบขับขี่ แลเอกสารที่ควรนำไปด้วย

เมื่อเรากลับไทยไปแล้ว เราก็ไปสำนักงานขนส่งตามวันที่เราจองคิวเอาไว้ และเอกสารที่ควรนำไปด้วยคือ

  • ใบขับขี่เดิม
  • บัตรประชาชนฉบับจริง 
  • ใบรับรองแพทย์ (อายุไม่เกิน 1 เดือน)
  • ใบผ่านการอบรมออนไลน์ (ที่เราปริ๊นไว้แล้ว)
  • เงินค่าธรรมเนียม 505 บาท

เมื่อไปถึงไปสำนักงานขนส่งที่เราเลือกที่จะทำเรื่องต่อใบขับขี่แล้วก็ ยื่นเอกสาร จากนั้นก็ต้องเข้ารับการทดสอบสมรรถภาพร่างกาย เช่น การทดสอบสายตาต่างๆ, การมองเห็นสีสัญญาณไฟ, และทดสอบปฏิกริยาทางเท้า (การเหยียบเบรก) พอเสร็จแล้ว ก็เข้าไปสอบข้อเขียนต่อค่ะ ข้อสอบจะมีจำนวน 50 ข้อด้วยกัน ผู้เข้าสอบจะต้องตอบถูก 90% ขึ้นไปหรือประมาณ 45 ข้อขึ้นไป จากทั้งหมด 50 ข้อนะคะถึงจะผ่าน ถ้าไม่ผ่านก็สามารถสอบใหม่ได้ค่ะ ( เจ้าหน้าที่บอกว่า สอบได้ 2 ครั้งต่อวัน ) เราสอบผ่านในรอบแรกเลย เราว่าข้อสอบก็ไม่ยากเท่าไหร่นะ

พอสอบข้อเขียนผ่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปรอถ่ายบัตรเพื่อทำใบขับขี่ใหม่ และจ่ายค่าธรรมเนียม 505 บาท แค่นี้เราก็ต่อใบขับขี่ได้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก กรมการขนส่งทางบก

อย่างไรก็ตาม ฝากเป็นข้อคิดเลยค่ะว่าหากใบขับขี่หมดอายุเมื่อไร ต้องไม่ลืมไปต่ออายุใบขับขี่ภายใน 1 ปีนะ จะได้ไม่เสียเวลาสอบข้อเขียนใหม่เหมือนเรานะ 

ตอนนี้เราสามารถอบรมออนไลน์และจองวันที่จะไปต่อใบขับขี่ออนไลน์ได้แล้ว ซึ่งถือว่าดี และสะดวกมากๆ สำหรับคนที่อยู่ต่างประเทศอย่างพวกเราค่ะ แต่ยังไงก็ตาม เรายังต้องไปต่อใบขับขี่ที่กรมขนส่งด้วย ”ตัวเอง” เหมือนเดิมนะคะ เพราะเรายังต้องถ่ายรูปใหม่และปริ๊นลายมือที่กรมขนส่งด้วย *****กรณีที่มีผู้มารับอาสาจะทำให้ทางออนไลน์ใดๆ นั้น จะเป็นการหลอกลวงทั้งนั้นค่ะ จงระวังและอย่าหลงเชื่อนะคะ!!!