muerren

วันเดียวเที่ยว 3 เมือง Lauterbrunen, Mürren, Interlaken

Europa เที่ยวนอกเยอรมัน

วันเดียวเที่ยว 3 เมืองในวันสุดท้ายของทริปเลยค่ะ โดยเริ่มจากไปดูน้ำตกที่หมู่บ้าน Lauterbrunnen จากนั้นช่วงบ่ายก็จะนั่งรถไฟไปหมู่บ้านที่เล่นสกีชื่อดัง ที่ชื่อว่า Mürren พอช่วงเย็นก็จะไปดูวิวเมือง อินเทอร์ลาเก้น มุมสูงที่ชื่อว่า Harder Kulm กันค่ะ

เป็นทริปที่เราขับรถเที่ยวด้วยตัวเอง ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์กัน 14 วันเต็มๆค่ะ โดยขับรถมาจากเยอรมันกันนะคะ แพลนทริปเที่ยวทั้ง 14 วัน สามารถดูได้ในลิงค์นี้เลยค่ะ

นอกจากนั้นเราได้เขียนรีวิวที่พักทั้งหมดในคลิปนี้ไว้แล้วด้วย ซึ่งเราพักกับ  airbnb หมดเลย อ่านดูได้ในลิงค์นี้

เราจะไปเที่ยวดูน้ำตกชื่อดังที่หมู่บ้าน Lauterbrunnen กันค่ะ น้ำตกสูงแห่งนี้เขามีชื่อเสียงมาก และยังติด 1 ใน 10 ว่าเป็นเมืองที่สวยและควรมาเยือนสักครั้ง ถ้ามาเที่ยวประเทศสวิตเซอร์แลนด์ค่ะ

Lauterbrunnen

หมู่บ้าน Lauterbrunnen (เลาเทอร์บรุนเนน) ตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ของสวิส ซึ่งมีหน้าผาสูงชันและน้ำตก Staubbach (ชเตาบัค) สูงถึง 300 เมตร ที่เป็นจุดเด่นของหมู่บ้านนี้ค่ะ .

ที่นี่มีน้ำตกเล็ก น้ำตกน้อยอีกหลายที่เลย รวมแล้วมีน้ำตก 72 แห่งด้วยกันค่ะ และที่ดังอีกที่ก็คือ มีธารน้ำจากธารน้ำแข็งของน้ำตก Trümmelbach ตกลงมาเหนือช่องเขาตามหน้าผาหินและจุดชมวิว ที่น่าไปเที่ยวอีกที่ แต่ต้องเดินไปไกลหน่อยนะ(มีแผนที่ให้ดูในคอมเม้นท์ค่ะ) แต่ตรงน้ำตกนี้เก็บค่าเข้าค่ะ ….

 หมู่บ้าน Lauterbrunnen อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 802  เมตร 

น้ำตก Staubbach

สถานที่แห่งนี้เหมาะสำหรับการเดินป่า และเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับได้ เมืองนี้มีนักท่องเที่ยวก็เยอะ ร้านอาหาร โรงแรมเพียบเลย เดินชิวๆ ถ่ายรูป เที่ยวชมเมือง ดูน้ำตก ใช้เวลาซัก 2-3 ชั่วโมง จากนั้นก็ไปเที่ยวที่เมืองอื่นต่อก็ได้ค่ะ

ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกับน้ำตก Staubbach สักหน่อยค่ะ

ทางเดินไปน้ำตก Trümmelbach

จากที่ตอนแรกเราแค่อยากมาดูน้ำตกแค่นั้น แล้วก็เดินเที่ยวในเมืองแต่สามีอยากเดินไปดูน้ำตกอีกที่หนึ่ง ซึ่งเขาบอกว่าดังเหมือนกันที่ชื่อว่า Trümmelbach เพราะเห็นว่ายังมีเวลาและดูจากแผนที่แล้วก็ดูไม่ไกลเท่าไหร่ด้วย เลยจะพากันเดินไปดูน้ำตกอีกที่กันด้วยค่ะ

วิวระหว่างทาง 

เดินมาเรื่อยๆถนนก็ถือว่าเดินสะดวกค่ะ และก็มีเพื่อนร่วมทางระหว่างทางเยอะเลยที่เดินเหมือนเรา จากที่ตอนแรกดูไม่ไกล แต่ที่ไหนได้จะว่าไปก็ไกลเหมือนกันนะ หรืออาจเป็นเพราะว่าวันนั้นแดดแรงด้วย ทำให้เรารู้สึกว่าเหนื่อยกว่าวันก่อนๆที่เราเดินกันค่ะ

ระหว่างทางเห็นแม่น้ำไหลผ่าน ซึ่งเป็นน้ำที่ไหลมาจากน้ำตก Trümmelbach นั่นเองค่ะ  น้ำดูใสน่าเล่น แต่ไม่แนะนำค่ะ เพราะน้ำเย็นมากๆเลย  เหตุผลที่น้ำเย็นมากเพราะว่า เป็นน้ำที่ไหลมาจากน้ำตกที่ละลายจากธารน้ำแข็งนั้นเอง

พอเดินไปถึงก็จะเห็นร้านขายของที่ระลึกอยู่ข้างหน้าเดอะเห็นป้ายว่าใกล้ถึงแล้ว เราสองคนก็พากันดีใจ แต่พอเดินเข้าไปใกล้ๆที่ทางเข้าเลยทำให้รู้ว่าต้องซื้อบัตรเข้า เราสองคนก็มองหน้ากันว่าแค่เข้าไปดูน้ำตกต้องเสียค่าเข้าด้วย เราก็เลยตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปค่ะ

ตรงนี้คือประตูทางเข้าที่เราต้องซื้อตั๋วก่อนเข้าไป

ใจนึงก็คิดว่า เสียดายเวลาจังที่เดินมาตั้งไกลแล้วไม่ได้เข้า แต่ยังไงก็ดีก็พยายามคิดในแง่ดีว่า เราได้เดินออกกำลังกายกันแล้วกัน 5555 ตรงใต้ร่มไม้ที่อยู่ข้างหน้าร้านขายกิ๊ฟช็อปแถวๆนั้น ซึ่งก็เห็นคนมานั่งปิกนิกกันเยอะเลย เพราะเป็นจุดที่ร่มและบรรยากาศดีสุดในแถวนั้น เลยพากันนั่งพักและทานอาหารว่างที่เราเอามากันดีกว่า

พอเราทานอาหารว่างกันเสร็จ เราก็พากันเดินกลับ เพราะว่าแพลนของเราวันนี้ ในช่วงบ่ายเราจะไปเที่ยวที่หมู่บ้าน Mürren กันต่อนั่นเองค่ะ

เดินผ่านบ้านหลังหนึ่งสวยงามมากๆ มีบริเวณกว้างขวาง ด้านหลังเป็นน้ำตกชื่อดังของที่นี่ค่ะ ด้านหน้าที่เป็นตู้ไม้นั้น คิดว่าเค้าเคยวางขายพวกชีส หรือผลิตภัณฑ์การเกษตรอื่นๆค่ะ ซึ่งจะเห็นได้ทั่วไปในหมู่บ้านที่สวิตเซอร์แลนด์ที่คนซื้อต้องบริการตัวเอง และจ่ายเงินเองในกล่องที่เค้าวางให้ค่ะ

Mürren

Mürren อ่านว่า เมอร์เรน เป็นหมู่บ้านบนภูเขาของสวิตเซอณ์แลด์ ที่เชิงเขา Schilthorn ซึ่งสามารถเข้าถึงได้โดยรถเคเบิล ร้านอาหารหมุนรอบ Piz Gloria ในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ มีนิทรรศการ Bond World 007 และมองเห็นวิวของ Mont Blanc หุบเขาเลาเทอร์บรุนเนนซึ่งมีธารน้ำแข็งใต้ดินทรึมเมลบาคตั้งอยู่ใกล้กับเมอร์เรน

เมือง Mürren นี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ  1650 m เมตร เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ประชากรมีแค่ 377 (31. März 2018) เองค่ะ เป็นหมู่บ้านบนเขาของสวิตเซอร์แลนด์ ที่ตั้งอยู่ที่เชิงเขา ถือว่าเป็นเมืองที่ดังอีกแห่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นที่เล่นสกีที่ดังอีกแห่งในสวิตเซอร์แลนด์เลยนะคะ 

การเดินทาง

ถ้าจากเมือง Lauterbrunnen ไปเมือง Mürren การเดินทางไปเมืองนี้เราสามารถใช้นั่งรถไฟไป จะสะดวกสุดค่ะ รถไฟจะใช้เวลาประมาณ 14 นาที หรือนั่งรถบัสไปก็ได้ค่ะ ต้องนั่งสาย 141  จะใช้เวลาประมาณ 17 นาที

***ขอแนะนำว่า ถ้านั่งรถไฟ ควรนั่งฝั่งซ้ายนะคะ เพราะว่าเราจะได้เห็นวิวระหว่างทางที่ดีกว่า และสวยกว่าฝั่งขวาค่ะ

ถ้าใครมีเวลาแล้วชอบเดินดูวิว สามารถเดินจากเมืองนี้ไปเมือง wengen ได้ซึ่งเราเคยอ่านเจอเขาบอกว่าเป็นทางที่สวยอีกเส้นทางเลย และก็ไม่ไกลมากด้วยน่าจะประมาณ 2-3 กิโลเมตรเท่านั้นเอง 

ที่จริงเราก็อยากจะเดินเหมือนกันนะแต่ เราสองคนคุยกันว่าว่าวันนี้เราเดินเยอะพอแล้ว คราวหน้าถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยวอีกค่อยเดินกันดีกว่า

ใครเป็นแฟนภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นไปบนเขา Schilthorn มีนิทรรศการ Bond World 007 และมองเห็นวิวของ Mont Blanc หุบเขาเลาเทอร์บรุนเนน (Lauterbrunnen)ซึ่งมีธารน้ำแข็งใต้ดินทรึมเมลบาคตั้งอยู่ใกล้กับเมอร์เรน และมีร้านอาหารที่หมุนรอบได้ชื่อว่า Piz Gloria ด้วยค่ะ

เนื่องจากบัตร Top of Europe Pass ของเราไม่ครอบคลุมกับการขึ้นไปบนเขา Schilthorn ถ้าอยากจะไปเราต้องซื้อราคาเต็ม เราเลยไม่ขึ้นไปกันค่ะ การมาเดินดูบรรยากาศในโลกเมืองสำหรับเราแค่นี้ก็พอใจแล้วค่ะ 

แต่ถ้าใครมีบัตร Swiss Travel Pass  ก็สามารถซื้อบัตรขึ้นกระเช้าไป Schilthorn ได้ลดราคา 50%  (จากที่ปีที่แล้วปี 2021 ถ้าใครมีบัตร Swiss Travel Pass ขึ้นได้ฟรีนะ แต่ตอนนี้ปี 2022 เขาเปลี่ยนไม่ฟรีแล้วค่ะ)

เนื่องจากเรามาเที่ยวกันช่วงหน้าร้อนสถานที่แห่งนี้คุณก็จะมาเดินป่าเดินเขากัน บรรยากาศอาจจะไม่ค่อยคึกคักเท่าหน้าหนาว แต่เราก็แค่อยากมาเดินดูบรรยากาศแค่นี้ก็พอค่ะเราใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงเกือบ 2 ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง วนรอบหมู่บ้าน ก็ถือว่าเดินทั่วแล้วนะคะ ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่เลย

รถไฟที่เรานั่งมาจาก Lauterbrunnen ค่ะ

พอเราลงมาถึงที่สถานีรถไฟ  Interlaken แล้วเรายังเห็นว่าพอมีเวลา ไหนๆก็เป็นวันสุดท้ายของทริปแล้ว อยากใช้เวลาที่นี่ให้คุ้มค่าที่สุด เลยชวนกันขึ้นไปดูบรรยากาศกัน ข้างบน Harder Kulm เพื่อดูวิวมุมสูงเมือง Interlaken กันต่อค่ะ

Harder Kulm

Harder Kulm เป็นจุดชมวิวที่โดดเด่นของ Harder ทางตะวันตก และตั้งอยู่ทางเหนือของสปาและที่ตั้งของรัฐสภาโดยตรง มันเป็นของ Emmental Alps และตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 1321 ม. ค่ะ นอกจากตรงนี้จะเป็นจุดชมวิว ที่สูงและสวยที่สุดในเมือง Interlaken เรียกได้ว่า TOP OF INTERLAKEN แล้วข้างบนยังมีร้านอาหารที่ชื่อว่า Restaurant im Pavillionstil ที่บรรยากาศดีและโรแมนติก เผื่อใครอยากนั่งทานอาหาร ชมวิวมุมสูง วิวเมืองแบบพาโนรามา ก็แนะนำที่นี่เลยค่ะ แต่อยากจะบอกว่าตรงมุมดีๆ มักจะเต็มตลอดนะคะ ทางที่ดีควรจองที่นั่งไว้ดีที่สุดค่ะ ถ้ามีแพลนอยากมานั่งทานอาหารที่นี่

ตรงนี้คือจุดชมวิว นักท่องเที่ยวจะเยอะเป็นพิเศษค่ะ

จะเห็นวิวเมือง Interlaken ทั้งเมืองเลยค่ะ เสียดายตอนพวกเราอากาศไม่ค่อยดีเท่าไหร่ หมอกเต็มเลยค่ะ

การเดินทาง

สถานีรถรางขึ้นไปข้างบนนี้อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟของ Interlaken เลยนะคะ เราสามารถเดินไปได้เลยค่ะน่าจะไม่ถึง 8-10 นาที ที่อยู่ของสถานีคือ 

รถรางไม่ใช่คันใหญ่นะคะเป็นคันเล็ก เพราะฉะนั้นคือบรรจุคนได้ไม่เยอะต่อการเดินทาง ใช้เวลานานเดินทางแค่ 10 นาที เพื่อขึ้นไปข้างบนค่ะ

ราคาค่าตั๋ว

ปกติแล้วจะราคา  นะคะ แต่เราใช้บัตร Top of Europe Pass ของเราก็สามารถขึ้นได้ฟรีค่ะ ส่วนถ้าใครถือบัตร Swiss Travel pass สามารถซื้อบัตรได้ส่วนลด 50% จากราคาเต็ม 

 ***ที่นี่จะเปิดให้บริการเฉพาะช่วงหน้าร้อนของทุกปีค่ะ เชปีี้ เปิดให้บริการเฉพาะช่วงระหว่างวันที่ 15.04.22 – 27.11.22 ค่ะ (หน้าหนาวปิด)

หรือสามารถดูอัพเดทได้ในเว็บไซต์  www.jungfrau.ch/de-ch/harder-kulm

สิ่งที่อยากจะแนะนำ คือถ้าใครขึ้นไปเที่ยวที่ช่วงตอนเย็นเหมือนเรา ต้องระวังอย่างหนึ่งนะคะว่ารถรางครั้งสุดท้ายลงเมื่อไหร่ เพราะว่าช่วงเย็นนี้คนเยอะมากทางที่ดีควรไม่ควรรอจนถึงช่วงนาทีสุดท้าย เพราะว่าวันนั้นพวกเราต้องยืนรอคิวขึ้นรถไฟรถรางเพื่อลงมาเป็นชั่วโมงเลยค่ะ เพราะคนเยอะ ฉะนั้นต้องกะเวลาดีๆนะคะ

ไม้แกะสลักเป็นรูปร่างหน้าตาต่างๆข้างบน Harder Kulm ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราเห็นแล้วอดที่จะถ่ายรูปไม่ได้ค่ะ 🙂

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราเดินเที่ยวกันจนถึงเย็นเลย กลับถึงที่พักก็ค่ำแล้ว พากันเก็บกระเป๋า และของเพื่อเดินทางกลับเยอรมันกันพรุ่งนี้เช้าค่ะ …


สรุป

สรุปทริป ซึ่งเป็นทริปที่เราขับรถเที่ยวด้วยตัวเอง ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์กัน 14 วัน เป็นทริปที่สนุกมีความสุข และประทับใจในหลายอย่างมากๆ และประเทศสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่สวยมากๆ มีธรรมชาติที่สวยงามจริงๆ แนะนำเลยค่ะ

และจากที่ตอนแรกเคยคิดว่าที่สวิตเซอร์แลนด์นี้ คงแพงมากๆ แต่ที่ไหนได้ถ้าเรารู้จักการใช้จ่าย มันก็ไม่แพงอย่างที่เราคิด โดยเฉพาะอาหารถ้าเราประหยัดตรงส่วนของอาหารได้ เราก็ประหยัดได้เยอะมากค่ะ ซึ่งนั่นแหละคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงเลือกที่พัก ที่มีครัวที่เราสามารถทำอาหารทานกันเองได้นั่นเอง  ซึ่งสามารถดูได้ในลิงค์นี้เลยค่ะว่า ค่าใช้จ่ายที่เราใช้ไปในทริปนี้ทั้งหมดเท่าไหร่ค่ะ

ส่วนใครที่ยังไม่ได้อ่านตั้งแต่ช่วงแรกๆของทริปสามารถอ่านได้ในลิงค์นี้ค่ะ