ใบขับขี่เยอรมัน ขึ้นชื่อว่าทำยากที่สุด ต้องหมดเงินเป็นแสนจริงหรือ!!?? เดี๋ยวจะเล่าประสบการณ์ให้ฟังค่ะ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา สามีชวนไปนั่งรถเป็นเพื่อนหน่อย เพราะหลังจากผ่าตัดไหล่มา แล้วต้องหยุดอยุ่ถึงบ้าน 5 อาทิตย์ แกจะไปลองขับรถดูว่าแขนจะเจ็บไหม จะขับได้ไหม เพราะถ้าขับไม่ไหว เราจะได้ช่วยขับรถกลับไง (เนื่องจากวันจันทร์นี้แกต้องกลับไปทำงานแล้ว)
ปรากฎว่าแกขับได้ปกติ แขนตึงๆนิดหน่อย แต่ยังขับได้ ถือว่าโชคดีไป ทำให้เห็นว่า การอยุ่ที่เมืองนอกเนี่ย การมีใบขับขี่นี่จำเป็นอยุ่นะ โดยเฉพาะยามขับขันเนี่ย คนที่ขับให้เรานั่งประจำ เกิดไม่สบายกะทันหันขึ้นมา เราจะทำยังไง ?!
ก็เลยมีความคิดอยากจะ เออ..ช่วงนี้ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหน เดี๋ยวเขียนประสบการณ์ของพี่ในการทำใบขับขี่ที่เยอรมันให้อ่านกันดีกว่า ว่ามันมีความยากเย็นแค่ไหน หมดเงินไปเท่าไหร่ กว่าจะได้ใบขับขี่ (ทองคำ) นี้มา 5555 บอกเลยว่าน้ำตาหมดไปหลายปิ๊บ
ย้อนกลับไป เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ขณะที่นั่งรถกลับมาจากช้อปปิ้งกันเนาะ ขณะที่รถติดไฟแดงอยุ่นั้น ก็เห็นรถข้างๆจอดรอสัญาณไฟเหมือนกัน เป็นป้าฝรั่งสูงอายุคนหนึ่งขับรถ เราก็เออ ทำไมเราไม่ทำใบขับขี่วะ ดูซิ ป้าแกแก่ซะขนาดนี้ยังขับรถที่เยอรมันได้เลย ทำไมเราจะทำไม่ได้วะ เลยกันไปบอกสามี นี่เธอ… ฉันอยากทำใบขับขี่ สามีมองหน้า แล้วถาม เอาจริงเหรอ ? อยากทำจริงๆเหรอ? …จริง อยากทำจริงๆ …นั่นแหละคือจุดเริ่มต้น …
สามีอนุญาต และก็ส่งเสริมว่าจะให้ทำแต่มีข้อแม้ว่า ….
ข้อแรก ต้องสอบและทำข้อเขียนที่เป็นภาษาเยอรมันเท่านั้น ( สำหรับสอบข้อเขียน มันมีให้เลือกหลายภาษา และมีภาษาอังกฤษด้วยไง แต่ภาษาไทยไม่มีนะ )
ข้อสอง ต้องสอบเกียร์แมนนอลเท่านั้น ห้ามเรียนเกียร์ออโต้ แกให้เหตุผลว่า ที่เยอรมันถ้าเรียนและสอบเกียร์ออโต้ ใบขับขี่นั้นจะสามารถขับรถที่เป็นออโต้ได้เท่านั้น แต่ถ้าสอบของเกียร์แมนนอล จะสามารถขับได้ทั้งสองแบบเลย
ข้อสาม ฉันจะช่วยเธอแค่ 1500 ยูโร ถ้าเกินกว่านั้น เธอต้องจ่ายเอง แกบอกเราจะได้ตั้งใจเรียน และสอบให้ผ่านเร็วๆ
และสุดท้าย คือทุกอย่างเธอต้องทำเอง จัดการเอง คือหาโรงเรียนเอง ติดต่อเอง ทำเอกสารเองทุกอย่าง เค้าจะไม่ช่วย (เค้าให้เหตุผลว่า เค้างานเยอะ )
เราได้ฟังก็เงียบ ทำไมโหดแท้ว่ะ ยังไงก็ยังดี ก็จะลองดูซะตั้งนั่นแหละ เพราะตอนนั้นจิตใจมุ่งมั่นมาก อยากทำๆๆๆ เราต้องทำได้ๆๆๆ ท่องไว้ในใจ และให้กำลังใจตัวเอง 555
เอกสารและการเทียบใบขับขี่
วันนั้นตัดสินใจที่จะเข้าไปถามที่โรงเรียนสอนขับรถใกล้บ้าน ผุ้หญิงที่อยุ่ตรงเค้าเตอร์ ใจดีมาก ให้การช่วยเหลือและคำแนะนำอย่างดี ทำให้เราตัดสินที่จะเรียนขับรถกับโรงเรียนนี้ (โดยที้ไม่ได้ไปดูโรงเรียนอื่นเลย )
ที่โรงเรียนบอกทุกอย่างว่าเราควรทำอะไรอันดับแรก และรวมค่าใช้จ่ายให้เราดูว่า รายจ่ายเบื้องต้นประมาณเท่าไหร่ เรามีเอกสารที่เรายังไม่มีคือ ใบรับรองผ่านการอบรมพยาบาลเบื้องต้น และผลตรวจวัดสายตา ว่าไม่บอดสีหรือสายตาสั้น (ไม่งั้นต้องใส่แว่น) แกแนะนำสถานที่อบรมมา 2-3 ที่ในเมืองที่อยุ่
เนื่องจากเราเคยมีใบขับขี่จากไทยแล้ว ทำให้เรามีสิทธ์ในการเทียบใบขับขี่ (Umschreibung) คือยังต้องสอบทุกอย่างเหมือนคนอื่น แต่มีสิทธ์ที่ไม่ต้องเข้าเรียนภาคทฤษฎี ที่จะต้องเรียนถึง 14 ชั่วโมง แต่เราสามารถอ่านเองที่บ้าน พร้อมแล้วก็นัดสอบได้เลย
และในช่วงเวลาเรียนขับรถถ้าเราเทียบใบขับขี่ เราก็ไม่ต้องเรียนชั่วโมงบังคับ 12 ชั่วโมง ซึ่งรวมถถึงเรียนขับในช่วงกลางคืนด้วย นอกจากประหยัดทั้งเวลา และยังประหยัดเงินในกระเป๋าด้วย นี่คือข้อดีของการเทียบใบขับขี่ค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับโรงเรียนสอนขับรถด้วย และขึ้นอยู่กับเขตเมืองด้วยค่ะ แต่ที่โรงเรียนที่เราไปสมัครบอกว่า ทางโรงเรียนเค้าขอบังคับให้นักเรียนที่เทียบใบขับขี่ทุกคน ต้องเรียนการขับ Autobahn เพราะเห็นผลจากนักเรียนที่เทียบใบขับขี่ ไม่ได้เรียนตรงจุดนี้ ปรากฎว่าสอบตกตรงจุดนี้กันเยอะ เนื่องคนคุมสอบเค้าเข้มงวดมากนั่นเอง
แล้วก็ต้องเอาใบขับขี่ของไทยเรา ไปแปลเป็นภาษาเยอรมันก่อนนะ จากนั้นก็ไปทำเรื่องที่ das Straßenverkehrsamt, die Ordnungsbehörde หรือ das Landratsamt ว่าเราใช้สิทธ์เทียบใบขับขี่ที่เยอรมันนะ ซึ่งระยะเวลาในทำเรื่องในเขตที่เราอยุ่ ใช้เวลา 5 อาทิตย์ แล้วเราต้องยื่นเรื่องเอง (อ่านเจอบางที่ทางโรงเรียนยื่นเรื่องให้ แต่โรงเรียนที่เรา เค้าบอกเราต้องทำเอง ) ถ้าเรื่องผ่านเรียบร้อยแล้ว นั่นแหละเราถึงสอบได้
เรารีบเดินเรื่องทันที ด้วยการทำการจองทีสำหรับฝึกอบรม การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และไปตรวจสายตา จากนั้นก็ไปยื่นเรื่องที่การเที่ยบใบขับขี่ เพราะทำเร็วๆ ตอนที่เรามาสมัคร มันกลางปีแล้ว อยากทำให้เสร็จก่อนหน้าหนาว ก่อนหิมะตก เพราะกลัวว่าจะเรียนขับยากขึ้น เนื่องจากถนนลื่น
อ่านตอนต่อไป : ประสบการณ์ทำใบขับขี่เยอรมัน ตอนที่ 2 สมัครเรียน และ สอบ Theorieprüfung